รับดูแลเว็บไซต์ Web Maintenance | บริการดูแลเว็บไซต์ครบวงจร

กระบวนการดูแลรักษาเว็บไซต์

01

Regular Updates

เริ่มต้นด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เว็บไซต์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด การอัปเดตเหล่านี้รวมถึงการอัปเดตระบบ CMS เช่น WordPress และการสำรองข้อมูลเว็บไซต์เป็นประจำเพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล การสำรองข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้สามารถกู้คืนเว็บไซต์ได้ในกรณีที่เกิดปัญหา

02

Performance Optimization

ในขั้นตอนนี้จะเน้นการตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ การตรวจสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการปรับปรุงเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้รวดเร็ว การตรวจสอบความพร้อมใช้งานของเว็บไซต์ (Uptime Monitoring) เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา การปรับปรุงประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและส่งผลดีต่อ SEO

03

Security Management

รักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญ การติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ความปลอดภัย เช่น SSL Certificates, Firewalls, และการตรวจจับมัลแวร์ จะช่วยป้องกันการโจมตีจากผู้ไม่หวังดี การตรวจสอบความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาที่พบอย่างรวดเร็วจะช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและความเชื่อมั่นของผู้ใช้

04

Content Management

จัดการเนื้อหาและการอัปเดต SEO อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เว็บไซต์มีข้อมูลที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ การอัปเดตเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพจะช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในผลการค้นหา นอกจากนี้ยังรวมถึงการตรวจสอบและแก้ไขลิงก์ที่เสียหาย (Broken Links) และการเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาเพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา

ติดต่อเรา

เว็บไซต์ที่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาอันดับ SEO ไว้ได้ดีกว่าคู่แข่งถึง 40%

ข้อมูลจาก LinkedIn ระบุว่า การที่ธุรกิจใช้บริการดูแลเว็บไซต์ (Web Maintenance) จะช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจทำงานได้อย่างราบรื่น และปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในแง่มุมอื่นๆ ดังนี้

เพิ่มความปลอดภัยของเว็บไซต์ (Enhanced Website Security): การดูแลเว็บไซต์ช่วยป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์และปัญหาด้านความปลอดภัยต่างๆ จากการศึกษาพบว่าเว็บไซต์ที่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอมีความเสี่ยงในการถูกโจมตีน้อยลงถึง 50%‍
ปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ (Improved Website Performance): การดูแลเว็บไซต์ช่วยปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ทำให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นถึง 30% ซึ่งส่งผลดีต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา‍
รักษาอันดับ SEO (Maintaining SEO Rankings): การดูแลเว็บไซต์ช่วยให้เนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยรักษาอันดับ SEO และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา ธุรกิจที่มีการดูแลเว็บไซต์อย่างดีสามารถรักษาอันดับ SEO ไว้ได้ดีกว่าคู่แข่งถึง 40%
ลดความเสี่ยงในการหยุดทำงานของเว็บไซต์ (Reduced Downtime): การดูแลเว็บไซต์ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นจริง ทำให้เว็บไซต์มีความเสถียรและลดความเสี่ยงในการหยุดทำงานได้ถึง 20%
อัปเดตเนื้อหาและ SEO Content อย่างต่อเนื่อง (Continuous Content and SEO Updates): การดูแลเว็บไซต์ช่วยให้อัปเดตเนื้อหาและปรับปรุง SEO Content อย่างต่อเนื่อง ทำให้เว็บไซต์ของคุณยังคงน่าสนใจและตรงตามความต้องการของผู้ใช้

การบำรุงรักษาเว็บไซต์ (Web Maintenance) เป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตเนื้อหา การแก้ไขข้อบกพร่อง หรือการปรับปรุงด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการดูแลในส่วนของ Technical SEO และการปรับปรุง SEO Content เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในเครื่องมือค้นหาได้ดีขึ้น

‍

สำหรับเว็บไซต์ที่พัฒนาด้วย WordPress หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ การบำรุงรักษาจำเป็นต้องรวมถึงการอัปเดตปลั๊กอิน (Plugins) ธีม (Themes) และการจัดการใบอนุญาต (License) เพื่อป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัยและการทำงานที่ไม่ถูกต้อง การอัปเดตปลั๊กอินและธีมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันช่องโหว่และปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้เว็บไซต์ของคุณทันสมัยและรองรับเทคโนโลยีล่าสุด

‍

ที่ Foxbith เราให้บริการดูแลและบำรุงรักษาเว็บไซต์อย่างครบวงจร ครอบคลุมการอัปเดตเนื้อหา การตรวจสอบความปลอดภัย การดูแลด้าน SEO การอัปเดตปลั๊กอิน ธีม และการจัดการใบอนุญาต เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจในระยะยาว

"ดูแลเว็บไซต์ของคุณให้ทำงานได้อย่างราบรื่น คอยติดตามและปรับปรุง SEO เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมที่เกิดขึ้นตลอดเวลา บำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดต้นทุนจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้และการเปลี่ยนแปลงของตลาด"

Moss Pathomporn

DevOps Engineer