ให้ธุรกิจ SME ของคุณก้าวไปอีกขั้นด้วยการทำ Digital Transformation
Digital Transformation เป็นกระบวนการของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของธุรกิจ ประโยชน์หลักของการทำ Digital transformation สำหรับ SMEs คือความสามารถในการทำให้กระบวนการทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ (Automation) และ คล่องตัว (Agility) ด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัลและซอฟต์แวร์ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดงานซ้ำซ้อนให้ธุรกิจ เช่น การทำระบบ CRM เพื่อจัดการข้อมูลลูกค้า, การใช้ซอฟแวร์เพื่อช่วยให้การทำงานเกิดขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ (Automation), การพัฒนาแพลตฟอร์ม E-commerce ทำให้ธุรกิจ SME สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ทีมงานและธุรกิจมีเวลาเหลือสำหรับการวางแผนงานในอนาคตที่สำคัญกว่า เช่น งานคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมและวางแผนการเติบโตของธุรกิจ (R&D) ในอนาคต
ก่อนเริ่มการเดินทางสู่การทำ Digital transformation มีหลายสิ่งที่ธุรกิจ SMEs ควรพิจารณาและเตรียมพร้อมเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
ตั้งเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการให้ชัดเจน
การกำหนดเป้าหมายสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของ SMEs จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและพิจารณาถึงสถานะปัจจุบันของบริษัท ทรัพยากร และผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมาย ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่จะช่วยกำหนดเป้าหมาย SME สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
- ตั้งเป้าทางธุรกิจ ระบุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่สำคัญที่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสามารถช่วยให้บรรลุผลได้ เช่น ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ลดลง ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น หรือการเพิ่ม/ขยายธุรกิจใหม่
- กำหนดเป้าหมายที่สามารถวัดผลได้ กำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุผล เกี่ยวข้อง และมีเวลาจำกัด ตัวอย่างเช่น "เพิ่มยอดขายออนไลน์ 20% ภายใน 12 เดือนข้างหน้า"
- ติดตามความคืบหน้า ติดตามและประเมินความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ และทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ
โดยเป้าหมายที่ตั้งจะต้องมีมาตรวัดที่ชัดเจน (KPIs) จับต้องได้ สิ่งนี้จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าทั้งองค์กรมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
เลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะธุรกิจ
ก่อนตัดสินใจทำ Digital transformation มีสิ่งหนึ่งที่ธุรกิจ SMEs ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงมือทำ คือคุณสมบัติหรือข้อจำกัดของเทคโนโลยีหรือซอฟแวร์ที่จะนำมาใช้ เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด เราแนะนำให้คุณพิจารณาจากข้อแนะนำของเราดังนี้
- สามารถขยายขอบเขตการใช้งานได้ในอนาคต (Scalability) เทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ควรสามารถรองรับการขยายตัวได้และควรปรับให้เข้ากับการเติบโตของธุรกิจและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เช่น การเปลี่ยนมาใช้ could technology ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับกับข้อมูลที่จะเข้ามาปริมาณมากในอนาคตได้
- สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้ง่าย (Intrigration) เทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ควรสามารถเชื่อมต่อหรือควบรวมกับระบบหรือกระบวนการทำงานที่มีอยู่ได้ง่ายเพื่อลดอุปสรรค์ในการทำงาน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น เช่น ซอฟแวร์ CRM จะต้องสามารถเชื่อมต่อกับระบบ ERP ที่มีอยู่แล้วได้
- ใช้งานง่าย (User-friendly) เทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ควรใช้งานง่าย ตอบโจทย์กระบวนการทำงาน และซอฟแวร์ที่เลือกใช้ควรมีทีมงาน Support เพื่อช่วยฝึกอบรมพนักงานให้ใช้งานซอฟแวร์ได้ง่ายและไม่สะดุด
- ต้องมีความปลอดภัย (Security) เพราะข้อมูลคือสมบัติสำคํญของธุรกิจ เทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ควรมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่รัดกุม เพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทางธุรกิจและป้องกันการโดนแฮก เช่น การตรวจสอบการเข้ารหัสสองครั้ง (Two factor authentication)
- บริการหลังการขายและการบำรุงรักษา (Support and maintanace) พิจารณาผู้พัฒนาซอฟแวร์ที่มีบริการดูและหลังการขายและการบำรุงรักษาที่ไวต่อการแก้ปัญหา ธุรกิจอาจจะตรวจสอบจาก SLA หรือระดับขั้นการให้บริการที่แต่ละผู้พัฒนามีให้ และมีการอัปเดตเทรนด์เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ยังคงทันสมัยและปลอดภัยอยู่เสมอ
- ต้องสามารถปรับแต่งตามความต้องการได้ง่าย (Flexibility) ทุกธุรกิจมีวิธีการดำเนินงานที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ควรมีความยืดหยุ่นต่อการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถปรับแต่งและปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจได้
พิจารณาเรื่องผลกระทบในกระบวนการทำงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Stakeholder)
การทำ Digital transformation ไม่ได้เปลี่ยนแค่ทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงกระบวนการทำงาน พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นธุรกิจ SMEs ควรพิจารณาถึงตัวแปรเหล่านี้ก่อนลงมือเปลี่ยนแปลง
- สร้างแผนการและกำหนดการให้ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของพนักงาน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีแผนดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้พนักงานปรับตัวเข้ากับกระบวนการและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น การสื่อสารของผู้นำองค์กรให้เห็นถึงแผนการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานที่เกี่ยวข้อง
- การฝึกอบรมพนักงาน พนักงานจะต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีแผนการฝึกอบรมเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานมีความพร้อมในการทำงานกับระบบใหม่
- การมีส่วนร่วมของพนักงาน การให้พนักงานมีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินการตามโครงการริเริ่มด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสามารถเพิ่มการซื้อและการมีส่วนร่วมได้
- การตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ ในฐานะส่วนหนึ่งของการแปลงทางดิจิทัล สิ่งสำคัญคือต้องทบทวนและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทางธุรกิจที่มีอยู่เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- การกำกับดูแลข้อมูล ในขณะที่การใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องสร้างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลที่รับรองว่าข้อมูลถูกต้อง สอดคล้อง และปลอดภัย
- ความพร้อมด้านวัฒนธรรม องค์กรควรมีวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินโครงการริเริ่มด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะประสบความสำเร็จ กระบวนการนี้จะทำให้องค์กรของคุณสามารถเดินทางสู่การทำ Digital Transfromation ได้อย่างราบรื่น
มีการตรวจสอบและวัดผลอย่างสม่ำเสมอ
ติดตามความคืบหน้าและปรับเปลี่ยนผลลัพธ์ตามความเหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ทำไปได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราขอยกตัวอย่าง
- การติดตามยอดขายออนไลน์ ธุรกิจตั้งเป้าเพิ่มยอดขายออนไลน์ 20% ภายในปีหน้า คุณต้องมีการติดตามยอดขายออนไลน์เป็นประจำและเปรียบเทียบผลลัพธ์กับปีที่แล้วเพื่อวัดความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายนี้
- การวัดความพึงพอใจของลูกค้า ธุรกิจได้นำระบบ CRM และแชทบอทมาใช้เพื่อปรับปรุงการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของลูกค้า พวกเขาจะทำการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเป็นประจำและเปรียบเทียบผลลัพธ์กับการสำรวจครั้งก่อนเพื่อวัดความก้าวหน้า
- การตรวจสอบระบบอัตโนมัติ ธุรกิจได้ใช้เครื่องมืออัตโนมัติเพื่อปรับปรุงกระบวนการภายใน พวกเขาจะติดตามจำนวนงานที่เป็นอัตโนมัติและเวลาที่บันทึกเป็นผล เพื่อวัดความคืบหน้า
- การวิเคราะห์ข้อมูล ธุรกิจได้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของธุรกิจ พวกเขาจะติดตามตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก เช่น ยอดขาย พฤติกรรมของลูกค้า และระดับสินค้าคงคลัง และเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าเพื่อวัดความคืบหน้า
- ทบทวนงบประมาณ ธุรกิจจะตรวจสอบงบประมาณอย่างสม่ำเสมอและเปรียบเทียบต้นทุนกับประโยชน์ของโครงการริเริ่มด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพื่อวัดความก้าวหน้าและผลตอบแทนจากการลงทุน
เลือก Partner ด้านเทคโนโลยีให้เหมาะกับวิธีการทำงานของคุณ
ธุรกิจ SME จำเป็นต้องเลือกพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เหมาะสมเพื่อช่วยนำทางในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจข้อกำหนดทางธุรกิจของ SME การนำเสนอโซลูชันและบริการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ตลอดจนให้การสนับสนุนและคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง
- พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ มองหา Partner ที่มีประสบการณ์ในการทำซอฟแวร์ หรือเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณและมีผลงานที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในการใช้ digital มาช่วยให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความสามารถด้านเทคโนโลยี ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Partner มีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะด้าน ในทำ Digital transformation ของธุรกิจคุณในอนาคต
- พาร์ทเนอร์ที่มีเป้าหมายเดียวกัน มองหา Partner ที่มีเป้าหมายเดียวกัน ประหนึ่งเป็นคนในทีมของคุณที่จะช่วยให้การทำ Digital transformation ให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น
- พาร์ทเนอร์ที่มีความยืดหยุ่น ภูมิทัศน์ทางดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องหาพันธมิตรที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ๆ เมื่อมีการพัฒนา การ
- สื่อสารและการทำงานร่วมกัน พันธมิตรด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ดีจะสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีทีมงานที่แข็งแกร่งที่สามารถทำงานร่วมกับทีมงานภายในองค์กรของคุณได้เป็นอย่างดี
- ทรัพยากร ตรวจสอบว่าพันธมิตรมีทรัพยากรและความสามารถในการจัดการโครงการของคุณและสนับสนุนคุณในระยะยาวหรือไม่
- การดูแลและการบำรุงรักษา (Support and maintanace) ควรพิจารณาผู้พัฒนาซอฟแวร์ที่มีบริการดูแลและการบำรุงรักษาหลังการขายที่ดีและมีการอัปเดตเทรนด์เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ยังคงทันสมัยและปลอดภัยอยู่เสมอ
ด้วยการทำตามขั้นตอนเหล่านี้และพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ SME สามารถเตรียมพร้อมและปรับใช้ Digital transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การประหยัดต้นทุน และการเติบโตของรายได้